สิ่งหนึ่งที่คนซื้อกล้องมา ส่วนใหญ่เลยน่าจะถูกพนักงานร้าน หลอกล่อ เชิญชวนให้ซื้อฟิลเตอร์ติดหน้าเลนส์มาด้วย ซึ่งถามว่า ฟิลเตอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นรึเปล่า...ส่วนตัวแล้วผมลอบติดฟิลเตอร์ไว้กับเลนส์บางตัว แต่การติดฟิลเตอร์นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นกับการเลือกใช้งานด้วย
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR หรือ Mirrorless หรือแม้กระทั่งกล้อง Compact บางรุ่น ก็มักจะใส่ฟิลเตอร์ได้ นั่นหมายถึงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวคนใช้กล้องมากกว่าที่คิดนะเออ
แล้วฟิลเตอร์เนี่ยมันเลือกยังไง...ไปดู
ฟิลเตอร์ คืออะไร
ฟิลเตอร์ คือแผ่นที่ติดอยู่บริเวณหน้าเลนส์ อาจทำจากกระจก พลาสติก หรือวัสดุอื่นๆ
โดยฟิลเตอร์นั้นถูกแบ่งหลักๆ ออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
*5 ประเภทนี่ผมแบ่งเองนะ
มันคือฟิลเตอร์ใสครับ...
ไม่มีเอฟเฟกต์พิเศษต่อภาพ ช่วยปกป้องหน้าเลนส์เท่านั้น ติดไว้ประหนึ่งประกันภัยเลยก็ว่าได้ ปกป้องหน้าเลนส์ได้สารพัด ตั้งแต่ฝุ่น ละอองน้ำกระเด็น ไปถึงช่วยให้หน้าเลนส์ไม่แตกเวลาร่วงลงพื้น
แถมเวลาทำความสะอาด เราถูฟิลเตอร์แล้วทำความสะอาดง่ายกว่าเช็ดหน้าเลนส์ตรงๆ ด้วย
และเป็นฟิลเตอร์เพียงชนิดเดียว ที่ผมแนะนำให้ติดหน้าเลนส์เอาไว้
(ฟิลเตอร์แบบอื่นๆ ก็ช่วนปกป้องหน้าเลนส์ได้เหมือนกัน แต่มักมีข้อเสียในการใช้งาน ทำให้ลำบากต่อการติดไว้หน้าเลนส์ตลอด)
ฟิลเตอร์ลดแสง มักใช้ในกรณีที่อยากใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำมากๆ แต่มีแสงรอบข้างเยอะเกินไป
ก็มช้เจ้านี่ช่วยลดแสงให้เข้าเลนส์น้อยลง คิดซะว่าเป็นแว่นกันแดดก็ได้
ตัว ND filter จะมีเบอร์กำกับไว้ด้วย เช่น ND2 , ND8 , ND16 เป็นต้น โดยจะลดแสงได้มากขึ้นตามเลขที่สูงขึ้น
โดยมีสูตรคือ 2^stop = เลข ND
เช่น ND8 ลดแสงได้ 3stop (2^3 = 8)
ใช้เสร็จแล้วอย่าลืมถอดล่ะ มันมืด...
คุณสมบัติของเลนส์โพราไรซ์ คือลดแสงสะท้อนครับ
ที่เห็นบ่อยที่สุดคือ ทำให้สีท้องฟ้าเข้มขึ้น หรือบางทีก็ใช้คุณสมบัตินี้เวลาถ่ายภาพในตู้กระจก ถ่ายปลาในบ่อปลาก็ได้ไม่ว่ากัน
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี PL ให้เห็นแล้ว จะเป็น CPL ซะมากกว่า
(C คือ Circle หมายถึงฟิลเตอร์แบบกลม ใช้แปะหน้าเลนส์เลยน่ะ)
เวลาใช้ CPL จะพิดเศษกว่าฟิลเตอร์อื่นๆ นิดหน่อยตรงที่ ตัวฟิลเตอร์เองจะมี 2 ชั้น เราต้องหมุนชั้นบนไปมาเพื่อตัดแสงสะท้อนในมุมที่พอเหมาะด้วยตัวเอง
อ้อ! ฟิลเตอร์พวกนี้กินแสง 2stop ด้วยนะครับ (กินแสงเท่า ND4)
Tips: การใข้ CPL ไม่ควรหันกล้องไปในทิศทางเดียวกับแหล่งกำเนิดแสง(เช่น หันกล้องไปทางดวงอาทิตย์) ควรหันกล้องให้เอียงพอสมควร จะใช้คุณสมบัติการตัดแสงได้ดีกว่า
ลักษณะเด่นของชื่อนี้ คือเป็นฟิลเตอร์ใสครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งจะเป็นสี(ดำ เทา ส้ม ฟ้า หรือสีอื่นๆ)
ส่วนใหญ่ฟิลเตอร์ตัวนี้จะเอาไว้ถ่ายวิว เอาครึ่งใสไว้ด้านล่าง อีกครึ่งใช้สีฟ้าไว้ด้านบน เพื่อให้ท้องฟ้ามีสีฟ้ามากขึ้น ประมาณนั้น
- Closed-up filter
ทำให้ถ่ายภาพได้ใกล้ จ่อวัตถุได้ใกล้กว่าเดิม
- ฟิลเตอร์เอฟเฟกต์
เช่น ไฟแฉก หรือเปลี่ยนลายของโบเก้
ไม่ว่าจะใช้อันละสองสามร้อย หรือสองสามพัน ฟิลเตอร์ทุกอันลดคุณภาพของภาพทั้งนั้น
แค่ฟิลเตอร์แพงๆ มันจะช่วยให้ภาพดรอปน้อยกว่าเท่านั้นเอง
สิ่งที่ดรอปลงไปบ้าง จะเป็นความคม สีสัน และมักมีแฟลร์เกิดขึ้นง่ายกว่าเดิม
-ขนาดของฟิลเตอร์ที่จะต้องใช้ ดูได้จากหน้าเลนส์
- หากมีเลนส์หลายตัวที่หน้าเลนส์ขนาดไม่เท่ากัน ซื้อฟิลเตอร์ที่พอดีกับหน้าเลนส์ที่ใหญ่ที่สุด แล้วใช้ Step-up ring แปลงหน้าเลนส์ไปใส่เลนส์ที่หน้าเล็กกว่าได้
- ฟิลเตอร์ ฮูด และฝาปิดหน้าเลนส์ ใช้เลขขนาดหน้าเลนส์ตัวเดียวกัน (ถ้าเลนส์หน้า 52mm ก็ใช้ฟิลเตอร์ 52mm ฮูดขนาด 52mm)
- ฟิลเตอร์อันใหญ่ แพงกว่าอันเล็กเสมอ
สำหรับเรื่องเล็กๆ อย่างฟิลเตอร์แปะหน้าเลนส์เบื้องต้นก็มีเท่านี้ ก็หวังว่าอ่านแล้วจะเลือกได้ถูกตัว ถูกใจ และถูกตังค์นะครับ
โดยฟิลเตอร์นั้นถูกแบ่งหลักๆ ออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
*5 ประเภทนี่ผมแบ่งเองนะ
1. UV filter / Protect filter
ไม่มีเอฟเฟกต์พิเศษต่อภาพ ช่วยปกป้องหน้าเลนส์เท่านั้น ติดไว้ประหนึ่งประกันภัยเลยก็ว่าได้ ปกป้องหน้าเลนส์ได้สารพัด ตั้งแต่ฝุ่น ละอองน้ำกระเด็น ไปถึงช่วยให้หน้าเลนส์ไม่แตกเวลาร่วงลงพื้น
แถมเวลาทำความสะอาด เราถูฟิลเตอร์แล้วทำความสะอาดง่ายกว่าเช็ดหน้าเลนส์ตรงๆ ด้วย
และเป็นฟิลเตอร์เพียงชนิดเดียว ที่ผมแนะนำให้ติดหน้าเลนส์เอาไว้
(ฟิลเตอร์แบบอื่นๆ ก็ช่วนปกป้องหน้าเลนส์ได้เหมือนกัน แต่มักมีข้อเสียในการใช้งาน ทำให้ลำบากต่อการติดไว้หน้าเลนส์ตลอด)
2. ND filter
ก็มช้เจ้านี่ช่วยลดแสงให้เข้าเลนส์น้อยลง คิดซะว่าเป็นแว่นกันแดดก็ได้
ตัว ND filter จะมีเบอร์กำกับไว้ด้วย เช่น ND2 , ND8 , ND16 เป็นต้น โดยจะลดแสงได้มากขึ้นตามเลขที่สูงขึ้น
โดยมีสูตรคือ 2^stop = เลข ND
เช่น ND8 ลดแสงได้ 3stop (2^3 = 8)
ใช้เสร็จแล้วอย่าลืมถอดล่ะ มันมืด...
3. Polarizer filter (PL/CPL)
ที่เห็นบ่อยที่สุดคือ ทำให้สีท้องฟ้าเข้มขึ้น หรือบางทีก็ใช้คุณสมบัตินี้เวลาถ่ายภาพในตู้กระจก ถ่ายปลาในบ่อปลาก็ได้ไม่ว่ากัน
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี PL ให้เห็นแล้ว จะเป็น CPL ซะมากกว่า
(C คือ Circle หมายถึงฟิลเตอร์แบบกลม ใช้แปะหน้าเลนส์เลยน่ะ)
เวลาใช้ CPL จะพิดเศษกว่าฟิลเตอร์อื่นๆ นิดหน่อยตรงที่ ตัวฟิลเตอร์เองจะมี 2 ชั้น เราต้องหมุนชั้นบนไปมาเพื่อตัดแสงสะท้อนในมุมที่พอเหมาะด้วยตัวเอง
อ้อ! ฟิลเตอร์พวกนี้กินแสง 2stop ด้วยนะครับ (กินแสงเท่า ND4)
Tips: การใข้ CPL ไม่ควรหันกล้องไปในทิศทางเดียวกับแหล่งกำเนิดแสง(เช่น หันกล้องไปทางดวงอาทิตย์) ควรหันกล้องให้เอียงพอสมควร จะใช้คุณสมบัติการตัดแสงได้ดีกว่า
4. Graduated filter
ผมเรียกมันว่า "ครึ่งซีก" ครับลักษณะเด่นของชื่อนี้ คือเป็นฟิลเตอร์ใสครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งจะเป็นสี(ดำ เทา ส้ม ฟ้า หรือสีอื่นๆ)
ส่วนใหญ่ฟิลเตอร์ตัวนี้จะเอาไว้ถ่ายวิว เอาครึ่งใสไว้ด้านล่าง อีกครึ่งใช้สีฟ้าไว้ด้านบน เพื่อให้ท้องฟ้ามีสีฟ้ามากขึ้น ประมาณนั้น
5. ฟิลเตอร์พิเศษต่างๆ
พูดเท่าที่นึกออกนะครับ- Closed-up filter
ทำให้ถ่ายภาพได้ใกล้ จ่อวัตถุได้ใกล้กว่าเดิม
- ฟิลเตอร์เอฟเฟกต์
เช่น ไฟแฉก หรือเปลี่ยนลายของโบเก้
เรื่องน่ารู้ก่อนซื้อฟิลเตอร์
- ฟิลเตอร์ที่ใส่แล้วคุณภาพของภาพดีขึ้น...ไม่มีอยู่จริงไม่ว่าจะใช้อันละสองสามร้อย หรือสองสามพัน ฟิลเตอร์ทุกอันลดคุณภาพของภาพทั้งนั้น
แค่ฟิลเตอร์แพงๆ มันจะช่วยให้ภาพดรอปน้อยกว่าเท่านั้นเอง
สิ่งที่ดรอปลงไปบ้าง จะเป็นความคม สีสัน และมักมีแฟลร์เกิดขึ้นง่ายกว่าเดิม
-ขนาดของฟิลเตอร์ที่จะต้องใช้ ดูได้จากหน้าเลนส์
- หากมีเลนส์หลายตัวที่หน้าเลนส์ขนาดไม่เท่ากัน ซื้อฟิลเตอร์ที่พอดีกับหน้าเลนส์ที่ใหญ่ที่สุด แล้วใช้ Step-up ring แปลงหน้าเลนส์ไปใส่เลนส์ที่หน้าเล็กกว่าได้
- ฟิลเตอร์ ฮูด และฝาปิดหน้าเลนส์ ใช้เลขขนาดหน้าเลนส์ตัวเดียวกัน (ถ้าเลนส์หน้า 52mm ก็ใช้ฟิลเตอร์ 52mm ฮูดขนาด 52mm)
- ฟิลเตอร์อันใหญ่ แพงกว่าอันเล็กเสมอ
สำหรับเรื่องเล็กๆ อย่างฟิลเตอร์แปะหน้าเลนส์เบื้องต้นก็มีเท่านี้ ก็หวังว่าอ่านแล้วจะเลือกได้ถูกตัว ถูกใจ และถูกตังค์นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น